เหตุผล ทำไมอัจฉริยะอย่างเรา ถึงได้ F ทุกวิชา

03:24 1 Comments

เหตุผลที่ได้ F

+++ ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยที่คุณได้ F !!! เพราะที่จริงแล้วในหนึ่งปีมีแค่ 365 วันเท่านั้น... +++

1) ใน 1 ปีมี 52 สัปดาห์ แสดงว่ามีวันอาทิตย์ 52 วัน
วันอาทิตย์เป็นวันแห่งการพักผ่อนนะ ไม่ควรเรียนหนังสือ
เหลือวันอีก 313 วัน

2) วันหยุดตอนปิดเทอมประมาณ 50 วัน ปิดเทอมก็ต้องเที่ยวเดะ
แถมอากาศยังร้อนเกินไปที่จะเรียนหนังสือด้วย
เหลือวันอีก 263 วัน

3) เพื่อสุขภาพที่ดี คนเราควรนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน
นั่นคือเราจะนอนประมาณ 130 วันต่อปี
เหลือวันอีก 141 วัน

4) เพื่อสุขภาพที่ดีอีกเช่นกัน คนเราควรหาเวลาเล่นกีฬาอย่างน้อย
1 ชั่วโมงต่อวัน นั่นคือประมาณ 15 วันต่อปี
เหลือวันอีก 126 วัน

5) คนเราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และควรใช้เวลาในการค่อย ๆ เคี้ยวและกลืนอาหาร
เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นคือเราควรให้เวลากับการกินประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน คือ 30 วันต่อปี
เหลือวันอีก 96 วัน

6) คนเราเป็นสัตว์สังคมต้องมีการสื่อสารกับผู้อื่น ดังนั้น
เราควรให้เวลาในการพูดคุยกับผู้อื่นอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง คิดเป็น 15 วันต่อปี
เหลือวันอีก 81 วัน

7) วันสอบทั้งมิดเทอม ทั้งไฟนอลอีกเกือบ 35 วัน
คุณจะเอาเวลาสอบไปเรียนหนังสือเหรอ???
เหลือวันอีก 46 วัน

Cool วันหยุดตามเทศกาล และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่างๆ อีกกว่า 40 วัน
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าวันหยุด
เหลือวันอีก 6 วัน

9) แล้วต้องเผื่อว่าเราไม่สบายขึ้นมาอีก
จะได้มีเวลารักษาตัวประมาณสัก 3 วัน
เหลือวันอีก 3 วัน

10) คนเราจะอยู่แต่กับบทเรียนก็ไม่ได้ ต้องหาความสนุกใส่ตัวบ้าง
เช่นไปดูหนังฟังเพลงอย่างน้อยรวมๆ แล้วก็ประมาณ 2 วันต่อปี
เหลือวันอีก 1 วัน

11) อีกวันหนึ่งก็คือวันเกิดคุณไง!!!
คุณจะเรียนหนังสือตอนวันเกิดคุณเหรอ... ไม่มีทาง
เหลือวันอีก 0 วัน

แล้วอย่างเงี้ยจะไม่ให้ได้Fได้ไง


ที่มา ... จาก thaiseoบอร์ด

1 ความคิดเห็น:

Notebox PC คนไทย ถ้าตั้งใจทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก

04:54 1 Comments






คนไทยถ้าตั้งใจ ไม่แพ้ชาตใดในโลก wanwan003 wanwan003



ที นี้ก็ไม่ต้องบ่นแล้วซื้อ Notebook มาแล้วเครื่องไม่แรง on board ไม่สามารถ upgrad ได้ เพราะเจ้า Notebox PC นี้มันก็ PC ดีๆตัวหนึ่งนี้เอง เล่นเกมส์การ์ดจอสูงๆได้ เอาไปทำงานนอกสถานทีได้ แต่ระวังนะครับตอนเอาขึ้นเครื่องแจ้งรายละเอียดเจ้าหน้าที่ก่อนก็ดี เดี่ยวท่านจะไม่ได้เข้าสบามบิน (อาจจะคิดว่าท่านเป็นมือระเบิด)
wanwan020 wanwan014

ขอบคุณขอมูลจาก FW mail

1 ความคิดเห็น:

ตะลึง!!! โพรเซสเซอร์ 100 คอร์

03:19 0 Comments


[www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุดที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการผู้ผลิตโพรเซสเซอร์ เมื่อบริษัท Tilera ประกาศวานนี้ (26 ต.ค. 2552) ว่า ทางบริษัทสามารถพัฒนาโพรเซสเซอร์ทีมี 100 คอร์ชื่อว่า Tile-GX100 ได้เป็นผลสำเร็จ โดยมันจะมีสมรรถนะการทำงานสูงสุดในอุตสาหกรรม

นอกจากจะเปิดเผยเรื่องดังกล่าวแล้ว ทางบริษัท Tilera ยังได้แนะนำโพรเซสเซอร์ 16, 36 และ 64 คอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชิปในตระกูล Tile-GX อีกด้วย "โพรเซสเซอร์ของเราได้เพิ่มขีดความสามารถของสมรรถนะการทำงานต่อวัตต์ (กำลังไฟฟ้าที่ใช้) ขึ้นไปสู่ระดับใหม่ ด้วยประสิทธิภาพของการคำนวณที่ดีกว่าถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับ Westmere โพรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของอินเทล (Intel)" ทางบริษัทกล่าว


สถาปัตยกรรมภายในของโพรเซสเซอร์ทั้งสี่ตัวจะมีลักษณะของการเชื่อมต่อของคอร์ แบบ iMesh 2 มิติ เพื่อลดความจำเป็นของบัสที่อยู่ภายในชิปลงไป นอกจากนี้ ระบบหน่วยความจำภายใน หรือแคช (cache) ของ Tile-GX ยังได้รับการออกแบบให้สามารถกระจายการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น (Dynamic Distributed Cache: DDC) ซึ่งทำให้แคชของแต่ละคอร์สามารถแบ่งใช้งานร่วมกันทั้งชิปได้ ด้วยสองเทคโนโลยีนี้เองที่ทำให้ สมรรถนะของสถาปัตยกรรมในโพรเซสเซอร์ของ Tile สามารถเพิ่มขยายแบบเชิงเส้นได้ด้วยจำนวนของ"คอร์" ในชิป โดยเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน





"ลูกค้าของเราสามารถเปลี่ยนเมนบอร์ดทีใช้อยู่ ซึ่งมีชิปทำงานร่วมกันหลายตัวด้วยโพรเซสเซอร์ Tile-GX เพียงตัวเดียว ด้วยสถาปัตยกรรมของระบบไม่เพียงแต่ช่วยลดความซับซ้อนลงได้มากเท่านั้น แต่มันยังช่วยลดต้นทุน การใช้พลังงาน และพื้นที่ของเมนบอร์ดพีซีอีกด้วย" Omid Tahernia ซีอีโอของ Tilera กล่าว



โพรเซสเซอร์ในตระกูล Tile-GX จะทำงานที่ความถี่สูงสุด 1.5GHz และใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ในช่วงตั้งแต่ 10 - 55 วัตต์ และสำหรับโพรเซสเซอร์รุ่นต่อไปจะได้รับการพัฒนาให้มีคอร์มากขึ้นไปอีก พร้อมกับรวมเอาคอนโทรลเลอร์ควบคุมหน่วยความจำ และอินพุต/เอาต์พุตต่างๆ เข้าไปด้วย ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดตัว Tile-GX36 (36 คอร์) ได้ในไตรมาสที่สี่ของปี 2010 และโพรเซสเซอร์รุ่นอื่นๆ จะตามหลังจากนั้นภายในไม่เกิน 6 เดือน


ขอบคุณ ข้อมูลจาก: Technewsworld

0 ความคิดเห็น:

รามคำแหงให้ ทุนเรียนดี สำหรับ Pre-degree

06:11 0 Comments



มหาวิทยาลัยรามคำแหงอนุมัติให้ทุนเรียนดี (5 G) แก่นักศึกษาในระบบ Pre-degree เช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไปที่มีผลการสอบไล่ได้เกรด G จำนวน 15 หน่วยกิตขึ้นไปในแต่ละภาคการศึกษา ให้เรียนฟรีในภาคการศึกษาถัดไป มีผลตั้งแต่ภาค 2/2552 เป็นต้นไป


รองศาสตราจารย์คิม ไชยแสนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีนโยบายสนับสนุนให้นักศึกษาตั้งใจเรียนเพื่อให้มีผลการ เรียนที่ดี และจบเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ จึงมีการให้ทุนการศึกษาหลายประเภทแก่นักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเพื่อเป็น ขวัญกำลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการให้ทุนเรียนดี ที่ชาวรามคำแหงเรียกว่า ทุน 5 G” ซึ่งเป็นการให้รางวัลแก่นักศึกษา ที่มีผลการเรียนดีเด่น สอบได้เกรด G ไม่น้อยกว่า 70 % ของจำนวนหน่วยกิตที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละภาคการศึกษา และได้เกรด G ไม่น้อยกว่า 15 หน่วยกิต ให้เรียนฟรี โดยได้รับการยกเว้นค่าลงทะเบียนเรียน ในภาคการศึกษาถัดไป ซึ่งที่ผ่านมามีนักศึกษารามคำแหงได้รับทุนเรียนดีดังกล่าว จำนวนมากพอสมควร


อธิการบดี ม.ร.กล่าว ต่อไปว่า เนื่องจากปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่สมัครเข้าศึกษาเป็นรายกระบวนวิชาเพื่อ เตรียมศึกษาระดับปริญญาตรี หรือที่เรียกว่า การศึกษาในระบบ Pre-degree ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี และนักศึกษา Pre-degree เหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยที่ขยันหมั่นเพียรในการเรียน จนสามารถสอบได้เกรด G จำนวน 15 หน่วยกิต ในแต่ละภาคการศึกษา มหาวิทยาลัยได้พิจารณาเห็นว่าควรสนับสนุนความมุ่งมั่นตั้งใจเรียนของนักศึกษา Pre-degree ด้วย โดยให้สิทธินักศึกษา Pre-degree ได้รับรางวัลเรียนดี “5 G” เพื่อ เป็นขวัญกำลังใจเช่นเดียวกับนักศึกษาปกติทั่วไปด้วย จากแนวคิดนี้ จึงได้เสนอแก้ไขระเบียบ ม.ร.ว่าด้วยการให้รางวัลเรียนดีแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2552 ให้ครอบคลุมถึงนักศึกษา Pre-degree ที่มีผลการ เรียนดีเด่นตามระเบียบฯ ได้รับทุนเรียนฟรีในภาคการศึกษาถัดไปด้วย ซึ่งสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2552 ได้อนุมัติร่างระเบียบฯแล้ว และมีผลใช้บังคับตั้งแต่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552 เป็นต้นไป

เชื่อว่าการให้ทุนเรียนดีแก่นักศึกษา Pre-degree นี้ จะเป็นแรงจูงใจที่กระตุ้นให้นักศึกษามีความขยันหมั่นเพียรในการเรียนมากขึ้น จนทำให้มีผลสอบที่อยู่ในเกณฑ์การได้รับทุนเรียนดีดังกล่าว ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองด้วย และหากตั้งใจจริงก็มีโอกาสที่จะเรียนฟรีตลอดหลักสูตร เช่นเดียวกับนักศึกษาทั่วไปที่ได้ทุน 5 G ทุกภาคการศึกษา

0 ความคิดเห็น:

แนะนำให้อ่าน !! สอนชีวิต จากคุณ Hanma

03:52 2 Comments

วันนี้ก็ เปิดเว็บอ่านข้อมูลตามปกติ แต่ดันไปเจอ กระทู้ที่ถามว่า ตอนนี้มีใครบ้างได้เดือนละ 50,000 บาท คุยให้ฟังหน่อย ในบอร์ด thaiseo เลยลองเข้าไปดู (ชื่อกระทู้น่าสนใจ)

เจ้าของกระทู้ ถามว่า
ตอนนี้มีใครบ้างได้เดือนละ 50,000 บาท คุยให้ฟังหน่อย
ทำอย่างไรถึงได้เยอะขนาดนี้ครับ
เว็บไทยหรือeng ครับ
ทำมานานยังครับ

ผมก็อ่านไปเรื่อยๆ ไปสะดุด อยู่โพสหนึ่ง มันทำให้ผมหยุดคิดว่าตัวเอง กำลังทำอะไรอยู่ คนพิมพ์สุดยอดจริงๆ ครับ ลองไปอ่านกันดูครับ

--------------------------------------------------------------------------------

ได้เกินแล้วครับ... เคล็ดลับคือ อ่าน แล้ว ลงมือทำ แค่นั้นเอง

อ่านเอาให้รู้พื้นฐานก่อน ไม่ต้องพิศดารอะไรมากก็ได้แล้วก็ตั้งเป้าหมาย+ลงมือทำ

มัวแต่รอเคล็ดลับไม่ลงมือทำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...


แล้วอ่านบทความนี้ซ้ำๆ ของคุณ EAK ในบอร์ดนี้

ผมก็ทำธุรกิจผ่านเน็ต เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จาก Online Marketing เป็นตัวจักรสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

แต่นอกจากความสามารถพิเศษทางด้าน Online Marketing แล้ว
การทำธุรกิจ ต้องอาศัยทักษะพิเศษมากกว่านั้น

ถ้าคุณทำได้ คุณมีเงินใช้แน่นอน

อย่าตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา


ผมมักจะเห็นคนบางคนบ่นไม่มีเงินใช้ นั่นเป็นเพราะอะไร ?
จากการสังเกตุส่วนตัว คุณลองมองดูตัวเอง
1. ผมตื่นแต่เช้า เริ่มทำงาน (คุณทำหรือไม่)
2. ผมมีงานให้ทำเยอะมาก เวลา 9 - 12.00 น.ผ่านไปอย่างรวดเร็ว (คุณยังนอนอยู่ ?)
3. ผมต้องรีบทานอาหารเช้า + อาหารกลางวันด้วยความเร่งรีบ (คุณพึ่งตื่น)
4. ผมกลับมา จัดการงานให้เรียบร้อย ถึง 1 ทุ่ม ด้วยความทุ่มเท แรงกาย แรงใจ (คุณยังสลึม สลืออยู่ ?)
5. 20.30 น. ผมกลับถึงบ้าน เขียนกำหนดการของงานวันพรุ่งนี้้ (คุณนั่งเล่นเน็ต ทำงานนิดหน่อย ออกไปสังสรรค์)
6. 22.00 น - 23.00 น. ผมนั่งปรับแต่งข้อมูลในเวปไซด์ ให้ดูดียิ่งขึ้นทุกวัน (คุณนั่งดูทีวี ? เล่นเกมส์ ?)
7. ผมตื่น 07.00 น. เตรียมอาบน้ำไปทำงาน และ จัดตารางงานให้แน่ใจว่าจะทำให้ครบทุกอย่าง (คุณนอนหลับสบาย ?)

รายได้ มากกว่า 500,000 บาทต่อเดือน
ถ้าอยากได้เงินมาก ๆ ก็ให้ใช้สมองให้มากกว่าแรง
ถ้าใช้สมองมากแล้ว งานก็จะไหลเข้ามามาก แต่ไม่มีแรงทำ ก็หาคนเก่ง ๆ มาช่วยกันทำ
ถ้าอยากได้เงินเยอะ ๆ จากงาน ก็ต้องตั้งใจทำงานทุกงานให้ดี และ ต้องทำให้ดีที่สุด
และงานดี ๆ ก็จะตามมา เงินก็จะตามมา ที่สำคัญ ต้องตรงต่อเวลา


แต่ถ้าทำแบบ ลวก ๆ เงินก็จะไม่ดี งานก็จะไม่มา
หนี้สินจะถามหา เพราะงานไม่ผ่านมาตรฐาน ที่สุดก็ล้มหายกันไปเอง

อยากปรับปรุงตัว อย่าคิดว่า จะเริ่มต้นตอนไหน เริ่มเมื่อไหร่ เมื่อได้อ่านข้อความของผม
ผมแนะนำให้ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้
1. สำรวจตัวเอง มีความรู้ความสามารถอะไร
2. ปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิต มองหาระเบียบ วินัย
3. ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ สะอาด ดูดี (เริ่มด้วยตัวเอง เดี๋ยวคนรอบตัวก็จะทำตาม)
4. นั่งสมาธิวันละ 15 นาที และอ่านหนังสือ วันละมากกว่า 30 นาที (หนังสือที่ให้สาระ ความรู้)
5. ถ้าติดเกมส์ กับ การ์ตูน หรือ ทีวี ให้เลิกดู เลิกเล่น เลิกอ่าน เอาเงินจากเกมส์ กับ การ์ตูน และเวลาจาก ทีวี มาซื้อหนังสือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
6. ถ้าคิดว่าจะเริ่มทำอะไร อย่าคิด แต่ให้ทำเดี๋ยวนั้นเลย ก่อนที่จะไม่ได้ทำ และ ลืม....
7. ตัวขี้เกียจ ถ้ามันเกาะคุณอยู่ ก็สลัดมันออกไป
แต่ถ้าไม่รู้จะเอามันออกไปยังไง เมื่อรู้สึกขี้เกียจ ให้ไปอาบน้ำ สมองจะได้ปลอดโปร่ง สบายตัว มีกะจิตกะใจทำงาน
8. วิธีการที่ดีที่สุดคือ ถ้าขี้เกียจ ให้ออกไปออกกำลังกายนอกบ้าน เช่น ออกไปหากลุ่มเพื่อนออกกำลังกาย

ผมไม่อยากให้ที่ผมเขียนมานี้ มีผู้อ่านผ่านไป แล้วรู้สึกว่า อยากทำ แต่ทำไม่ได้ (เหมือนพยายามเลิกบุหรี่)
เมื่อก่อน ผมก็เคยเป็นคนขี้เกียจ ไม่มีระเบียบ วินัย ติดเกมส์

ผมได้ศึกษาเพิ่มเติม ถึงวิธีการขั้นพื้นฐาน ในการหาเงิน
แน่นอน เราต้องจดรายจ่ายทุกอย่าง ที่เราจ่ายไป และตัดส่วนที่ไม่จำเป็น
ผมดูตารางการใช้ชีวิต 1 วันผมทำงานกี่ชั่วโมง รู้สึก จะทำแค่แป๊บเดียวเอง

เมื่อผมพบว่า ทำไม 1 วันผมจึงมีเวลาทำงานเพียงน้อยนิด ผมก็มาศึกษาต่อว่า ทำไม ?
1. ตื่นสาย
2. เล่นเกมส์
3. ดูทีวี
4. เล่นเน็ท
5. ขี้เกียจ

ผมพบว่า ปัญหาด้านบนเป็นปัญหาหลัก ๆ และวิธีการแก้ทั้งหมด อยู่ที่ตัวเราเอง
คือ ทำตรงกันข้าม
1. ผมตื่นเช้า ตอนแรก ๆ อาจจะยากนิดนึง เริ่มจาก นอนก่อน 4 ทุ่มทุกวัน ร่างกาจจะตื่นเอง 05.00 น.
และเราก็ไม่นอนสัปหงก แต่ให้ตื่นเลย
หรือ ถ้าเราไม่มีแรงใจ หรือ ไม่รู้ว่า ตื่นมาแล้วจะทำอะไรดี ไม่ยากครับ ผมหาทางแก้ให้แล้ว
ก่อนนอน ให้เราสำรวจในเน็ทว่า เช้าวันรุ่งขึ้น มีกิจกรรมอะไรดี ๆ อีกมากมาย ให้เราไปร่วม
แล้วเราโทรไปจอง หรือ ไปนัดไว้ก่อน บอกว่าผมจะไปร่วมด้วย แค่นี้เอง เราก็จะตั้งนาฬิกา และรอคอย
ที่จะได้ไปร่วมกิจกรรม ทำให้เรามีกำลังใจที่จะตื่นเช้า ผมยกตัวอย่างกิจกรรมที่ผมทำเป็นประจำ
คือ ปั่นจักรยาน www .thaimtb.com ลองไปหาดู จะมีกานัดปั่นจักรยานเช้า ๆ เราต้องเตรียมพร้อมตั่งแต่ 05.00 น.
เพื่อร่วมทริป หรือ อาจจะไปวิ่งตอนเช้า ๆ เพื่อหากลุ่มเพื่อนใหม่ ๆ

กลุ่มเพื่อนใหม่ ๆ คงจะไม่ใช่รุ่นเดียวกัน แต่น่าจะเป็นผู้ใหญ่ ที่เราจะสามารถคุยและเปลี่ยนประสบการณ์การทำงาน
แล้วเราก็จะได้รู้อะไรอีกเยอะแยะ เปรียบเสมือนการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง ยิ่งรู้จักคนมากขึ้น เราก็จะได้ประสบการณ์ต่าง ๆ
จากคนที่เรารู้จักมายมาย ว่าเค้าเคยเป็นอะไร เคยทำอะไรมา บางครั้ง คนที่เราออกไปร่วมทำกิจกรรมด้วย
อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเราก็ได้ เช่น เค้าอาจจะกำลังตามหาคนที่มีความสามารถบางอย่าง
แล้วบังเอิญได้มาเจอกันตอนออกกำลัง ซึ่ง ผมเองก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้เยอะมาก ซึ่งการที่เราได้ที่ปรึกษา
แบบความเป็นเพื่อน ทำให้มีความจริงใจ และฟรี ซึ่งถ้าเราไม่ได้เจอกัน และ พูดคุยปรึกษากันตอนออกกำลังกาย
คงจะต้องมีค่าที่ปรึกษา หรือ ค่าความรู้กันแพงเลยทีเดียว ผมได้ฉกฉวยความรู้ดี ๆ ไว้มากมาย

เรื่องบางอย่าง ค้นใน Google เท่าไหร่ ก็ค้นไม่เจอ แต่กลับไปเจอเอาง่าย ๆ ตอนไปออกกำลังกาย
นั่นเพราะ เราได้เจอผู้คนมากมาย ที่พร้อมที่จะเป็นมิตร และ เปลี่ยนประสบการณ์กัน และ มันจะนำพามาซึ่งโอกาสอันมากมาย
ที่อาจจะชักนำคุณไปสู่อนาคตที่ดี แต่คุณต้องเริ่มต้น ด้วยการพาตัวเองออกไปหามันก่อน

2. เล่นเกมส์ จะเป็น Offline หรือ Online ก็ไม่ต่างกัน อาการติดเกมส์ ผมก็เคยเป็น วัน ๆ นั่งคุยแต่เรื่องเกมส์
ซื้อหนังสือเกมส์ หรือ การ์ตูน จดจ่อ แต่เกมส์ ผมสรุปออกมาว่า เกมส์ เป็นกิจกรรม ที่สิ้นเปลืองเวลามาก ๆ
และประโยชน์ที่ได้ ชั่งน้อยนิด จนไม่คุ้มค่าที่จะไปเสียเวลาเล่น โดยได้มองดูเด็กติดเกมส์ เหมือนติดยาเสพติด
อยากเล่น ตื่นมาก็เล่น กินเสร็จ เล่นต่อ หมดแรง ก็นอน ตื่นมาก็เล่นอีก ชีวิต แทบไม่ได้ทำอะไรเลย

การเลิกเล่นเกมส์ วิธีที่ผมเลิกเล่นเกมส์ และทุกวันนี้ก็ไม่ได้เล่นอีกแล้ว ถ้ามีใครสักคนมาบอกให้ผมเลิกเล่นเกมส์
ผมคงรู้สึกไม่ดี เพราะใจผมยังอยากเล่นอยุ่ วิธีการนี้ ไม่ได้มีใครมาบอก แต่มันเกิดจาก การที่เรามีความรับผิดชอบ
ที่มากขึ้น เวลาการทำงานที่มากขึ้น จนเวลาเล่นเกมส์ไม่เหลือ และ ยิ่งทำงานมาก ก็ยิ่งได้เงินมาก ผมจึงไม่มีเวลา
หันหลังกลับไปเล่นเกมส์อีก มุ่งมั่น ทำงาน เก็บ Lv ในชีวิตจริง ๆ โลกจริง ๆ หาเงิน จริง ๆ ไม่ใช่เงินในเกมส์
หาเพื่อนจริง ๆ ที่คุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา ทำอะไรที่มันเป็นจริง สัมผัสได้ ไม่ใช่โลกจอมปลอม ที่เด็ก ๆ หลงใหล
และถอนตัวไม่ขึ้น และสิ่งที่ทำให้ผมไม่มีเวลาให้กับเกมส์ แต่ยังรู้สึกสนุก นอกจากการทำงาน ก็คือ
การออกกำลังกาย และ ได้ไปเที่ยวด้วย นั่นก็คือ การปั่นจักรยานทางไกล เพราะ เราต้องซ้อมปั่น เพื่อไปออกทริบทางไกล
ตอนที่ผมเลิกเล่นเกมส์ เป็นช่วงที่ผมไม่รู้สึกตัว ว่าผมเลิกเล่น แต่ผมมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ตอนที่ผมไม่คิดจะกลับไปเล่นอีกแล้ว
เพราะ การที่ผมได้ออกไป พบปะ พูดคุย กับกลุ่มเพื่อนใหม่ ๆ คนจริง ๆ ได้ทำกิจกรรมในโลกแห่งความเป็นจริงร่วมกัน
มันดีกว่า โลกของเกมส์ เยอะเลย และผมคิดว่า เด็ก ๆ ทุกคน ถ้าได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมที่สนุกสนาน กับเพื่อนต่างวัย
ก็น่าจะช่วยให้ ห่างเหินจากโลกของเกมส์ได้ และค้นพบด้วยตัวเองว่า ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกเยอะแยะ ที่ดีกว่าการนั่งจมปลัก
เพื่อเล่นเกมส์ไปวัน ๆ

ดังนั้น ถ้าตัวคุณติดเกมส์ เริ่มต้นวันนี้ เมื่อคิดจะเล่นเกมส์ โทรไปชวนเพื่อนออกไปออกกำลังกาย
หรือ ทำเหมือนผม ดุ่ม ๆ เดินไปออกกำลังกายเลย เราไม่จำเป็นต้องรู้จักใคร ทุกคนยินดี ที่จะมีเพื่อนใหม่ ๆ มาออกกำลังกาย
แต่ก็ดูให้เหมาะสมกับตัวเองว่า คุณชอบกีฬาประเภทไหน แต่ผมแนะนำ ปั่นจักรยานครับ (ง่ายดี เหมือนที่ผมทำ)
ผมพยายามพิสูจน์ตัวเองว่า 1 วันผมจะปั่นให้ได้ 100 ก.ม. ซึ่งจริง ๆ ถือว่า เป็นระยะทางที่สั้นมาก ๆ แต่ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่
และแล้ว ผมก็ทำได้สำเร็จ ซึ่งนั่น อาจจะหมายถึง LV 99 ในเกมส์เลยก็ได้ เพราะกว่าจะทำได้ ก็เหนื่อยสุด ๆ
ซ้อมปั่นวันละ 1 ช.ม. ด้วยความเร็วคงที่ แต่ที่สำคัญกว่านั้น เรามีเพื่อน ๆ คอยให้คำแนะนำ เราไปกันเป็นกลุ่ม
ปั่นไป เราก็ได้ไปเที่ยวกัน และใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในการเดินทางแต่ละครั้ง และยังได้สุขภาพที่ดีเยี่ยม เป็นของแถม

3. ดูทีวี การติด TV เช่น ละคร หรือ เกมส์โชว์ช่วงดึก เมื่อก่อนผมก็ติด แบบต้องดูให้ได้ แต่ปัจจุบัน
ผมก็แทบไม่ได้ดูทีวีเลย 1 อาทิตย์ ไม่เกิน 3 ชั่วโมง เพราะ กิจกรรม อื่น ๆ นอกบ้าน และ การทำงาน ที่เราใส่ใจ
เราใส่ความรับผิดชอบในงาน กลับถึงบ้าน ถ้างานไม่เรียบร้อย เราก็ต้องแก้ไขให้ดี เมื่อคิดว่าทำดีแล้ว ก็อย่าพึ่งหยุด
เราต้องทำให้ดีกว่านี้อีก ถ้าเรายังมีแรงเหลือ การดูทีวี อย่างเช่น ข่าว ก็อาจจะติดตามเฉพาะช่วงสรุปข่าว

และข่าวไหนที่จะเจาะลึก หรือ สนใจเป็นพิเศษ ผมจะค้นเพิ่มเติมเองจาก Internet

4. เล่นเน็ท ผมยังอยากชมเชย ทุกคนที่เข้า thaiseoboard.com เพราะอย่างน้อย นี่ก็เป็น การหาความรู้เพิ่มเติม
ใส่ตัวเอง ผ่าน internet ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งรายได้ หรือ ขาดทุน แต่อย่างน้อย ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการใฝ่หาความรู้
และต้องการหาเงิน และยังมี webboard อีกมากมาย ที่มีความรู้ให้เราเข้าไป ขุด เอามาใช้ เพียงแต่ เราต้องมี Limit
เวลาในการเล่นเน็ท เช่น เราจะอ่าน Webboard แบบจริงจัง คือ เลือกอ่าน สาระ ความรู้ และ เรื่อง Joke เพื่อคลายเครียด
ไม่ใช่เปิดแต่กระทู้ ดักควาย (กรูรู้ แต่กรูยอมโดนดัก) และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ในการหาความรู้เพิ่มเติมบน net สำหรับผม
คือ การศึกษาภาษา English อิอิ เวลาเราฟังเพลงภาษา ปะกิจ ที่เราชอบ แต่แปลไม่ออก ก็เอามาหาคำแปลบนเน็ท
และฝึกร้องไปด้วย (ร้องเฉพาะเวลาอยู่คนเดียวจะดีกว่า เพราะอาจจะรบกวนโสตประสาทคนใกล้เคียงได้) ผมค้นพบมานานแล้ว
ว่าการหาคำแปลเพลงต่าง ๆ และฝึกร้องเพลง โดยหาเนื้อเพลงฝรั่งจากเน็ท ช่วยพัฒนา ทักษะด้านภาษาได้ดีเยี่ยม
ผมคิดว่า เป็นบทเรียน ที่ไม่ว่า อาจารย์ที่คุยว่า เก่งแค่ไหน ก็สอนคุณไม่ได้ แต่ในเน็ท เราช่วยกันแปล ถ้าแปลไม่เป็น ก็จำเอา
เวลาเราฮัมเพลง แล้วมีคนถามว่า คุณรู้มัย มันแปลว่าอะไร เราก็ แปลให้มันฟังเลย มันก็อึ้ง ไอ้นี่ ไมมันรู้ได้ไงว๊ะเนี่ย
แล้วเวลาเราไปร้องเพลง เราก็จะได้ไม่ต้อง ดำน้ำ แบบว่า มั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้อายชาวบ้าน ชาวช่องเค้า

กิจกรรมที่ควรเลิกทำ บนเน็ทคือ
1. เลิกเปิดเวปไซด์เกี่ยวกับ เกมส์ การ์ตูน ทุกชนิด (ความบันเทิง มีอยุ่ทุกเวปบอรด์ เสพแค่นิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว)
2. เลิกดูดวง, เลิกอ่านข่าวซุบซิป นินทา ดารา
3. เลิกอ่านข่าว ชี้นำ ที่เป็นประเด็น เพราะมันจะ สร้างอารมณ์ร่วม ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ กระทู้ประเภทนี้ พยายามแบ่งแยกคนเป็น 2 กลุ่ม
เพื่อให้มันด่ากันเอง แล้วมีคนอื่น ๆ เข้ามาช่วยกันด่าต่อไปเรื่อย ๆ เป็นเหมือน การด่าแบบลูกโซ่
4. เวปโป้ ไม่ควรเปิดเกินอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
5. เวปบิต เวปบิตนี้เอาไว้ใช้เฉพาะยามจำเป็น เช่น หาโปรแกรมด่วน หรือ หาหนังดี ๆ มาดู
เมื่อก่อนผมเป็นพวกบ้าบิต ผมก็เปิดแมร่งทั้งวัน โหลดแมร่งหมด สรุป ผมไม่มีเวลาดูหนัง ที่โหลดมาให้ได้หมด
แม้กระทั่งหนังโป้ แมร่งเยอะจัด และแล้ว เราก็หมดเวลาไปกับการมานั่งเลือกไฟล์ในเวปบิต
ดังนั้น ถอยห่างจากเวปบิต เพราะ ในบิต เหมือนแหล่งอบายมุข ลด ละ การใช้งาน เลือกเฉพาะไฟล์ที่หายาก และ จำเป็นเท่านั้น

6. MSN ไม่ต้องถึงกับ Uninstall ออกไปก็ได้ แต่อย่าให้มัน autorun ตอนเปิด windows
ให้เราใช้ MSN เมื่อเราต้องการคุยกับใครสักคนแบบถามปัญหา หาความรู้ หรือ เพื่อการทำงาน
MSN มีประโยชน์มากมาย ในการติดต่องาน งานยาก ๆ หลาย ๆ อย่าง ผมจัดการมันผ่านการคุย MSN
บางที การคุยโทรศัพท์ ก็ไม่เหมาะ กับงานบางอย่าง โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับ Net ใช้ MSN นี่แหละ

เอาหล่ะ ต่อไปเรื่อง ความขี้เกียจ
5. ความขี้เกียจ สิ่งนี้ มันฝังตัวอยู่ใน มนุษย์ทุกตัวตน ที่อับจน แร้งแค้น เฝ้าคิด ภาวนา ถึงแต่ความสุขสบาย
ความร่ำร่วย แต่กลับไม่ลงมือทำอะไรเลย เฝ้าแต่ขอเงิน หรือ หวังว่าจะทำน้อย แต่ได้เยอะ ทำเร็ว ๆ ลวก ๆ
แต่ไร้ซึ่งคุณภาพ ความขี้เกียจเมื่อก่อน ผมก็ขี้เกียจนะ จนผมคิดว่า ทำไมต้องทำนู่น ทำนี่ด้วย เราก็อยู่แบบ
สกปรก ๆ ของเราไป ตัวเรารับได้ คนอื่นจะรู้สึกยังไงก็ช่างมัน ไม่ได้มาอยู่กับกรูนี่หว่า ก็ปล่อยให้ ที่อยู่อาศัย
สกปรก รกรุงรัง และเมื่อผมเริ่มทำงานจริงจัง เริ่มใช้ชีวิต ในโลกแห่งความเป็นจริง เริ่มพบเจอผู้คนมากขึ้น
โดยเฉพาะคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่ง ๆ หนึ่งที่เค้าเหล่านั้น มีเหมือน ๆ กันก็คือ ความสะอาด
มันเป็นสัจธรรมเลยก็ได้มั้ง ที่คนมีเงิน มักจะชอบความสะอาด แต่เราต้องแยกแยะ คำว่าคนมีเงิน คือ คำนี้
แบ่งออกเป็น
1. คนหาเงิน
2. คนใช้เงิน

คำว่าคนมีเงิน ที่ผมพูดถึงในที่นี้ หมายถึง "คนหาเงิน" คนที่หาเงินได้เยอะ ๆ จะใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิต
เพื่อรักษาความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ ตัวเอง โดยคนเหล่านี้จะไม่ชอบความสกปรก ไม่ชอบความไม่มีระเบียบ
และถ้าต้องให้เค้าอยู่กับคนสกปรก หรือ ไม่มีระเบียบ เค้าคงจะยอมรับไม่ได้ (เหมือนผมในตอนนี้)
แต่คนมีเงิน อีกประเภทคือ "คนใช้เงิน" ถึงจะมีเงิน แต่อาจจะชอบความสกปรกได้ เพราะไม่รู้จักคุณค่าของเงิน
ไม่ได้หาเอง มีคนหาเงินมาให้ใช้ จึงเป็นไปได้ ที่หลาย ๆ คนจะเข้าใจผิดว่า คนรวยคนนี้ ทำไมถึงได้ สกปรกนัก

ตัวเราเอง เริ่มได้ง่าย ๆ ถ้าอยากหายขี้เกียจ ก็กำจัดความสกปรกออกไป แบ่งเวลาวันละ 30 นาที
หรือ อาจจะเริ่มจากวันละ 10 นาทีก่อน โดยตั้งใจว่า 10 นาทีนี้ จะเป็นเวลาที่พิเศษที่สุดในชีวิตของเราทุกวัน
คือ เราจะทำให้ บ้านเราสะอาด เริ่มจาก 1 ห้องน้ำก่อน (ดูเหมือนจะง่าย และ เห็นผลเร็ว) เทน้ำยาขัดห้องน้ำ
แล้ว ขัด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ภายใน 10 นาที เราก็จะรู้ว่า แมร่ง ง่ายแบบนี้ ทำทุกวันยังได้เลยนี่หว่า.... ปกติ 10 ปี ทำ 1 ครั้ง
เมื่อขัดห้องน้ำแล้ว ก็เก็บกวาดบ้าน เริ่มจากการ จำกัดพื้นที่ก่อน เช่น 10 นาที ต่อไปนี้ เราจะเก็บโต๊ะทำงาน
ซึ่งเมื่อทำจริง ๆ แล้วมักจะเกิน 1o นาที แต่ผมก็มักจะเก็บต่อจนเสร็จ แต่ปัญหาสำคัญของการ เริ่มต้นเข้าสู่
การเป็นคนรักความสะอาด คือ เราต้องรู้จักจัดการ ต้องมีเครื่องมือ เช่น เพิ่มชั้นวางของ ซื้อถังขยะหน้าตาดี ๆ
มาไว้ใช้ ถ้าถังที่ใช้อยู่สกปรก ก็เปลี่ยนถังใหม่ และ อะไรที่ไม่ใช่ ก็ตัดใจเอาไปทิ้้ง อย่าเก็บไว้ แต่ถ้าอยากเก็บ
ก็หากล่องกระดาษลัง ที่สภาพดี ๆ สวย ๆ เอามาใส่รวม ๆ กันไว้ให้เป็นระเบียบ แล้วเอามาตั้งเรียงกันไว้

ถ้าเป็นคนที่มีสัตว์เลี้ยง ก็คงจะเหนื่อยเป็นสองเท่า เพราะสัตว์เลี้ยง จะสร้างความสกปรกได้อย่างมาก
ถ้าคุณไม่ขยันพอในช่วงแรก ขอแนะนำว่า อย่าเลี้ยง แต่ถ้ามีอยู่แล้ว และคิดว่า มันจะทำให้คุณสกปรกมากขึ้น
ก็หาวิธีปลดปล่อยมันไปซะ เช่น หาคนที่พร้อม เอาไปดูแลแทน หรือ ถ้าจะเลี้ยงต่อ ก็ต้องดูแลมันให้สะอาดด้วย

ปัญหาสำคัญอีกประการของคำว่าสกปรก เนื่องจากมนุษย์แต่ละคน มีระดับความ สะอาด ที่ต่างกันไป
บางคนคิดว่า ที่ทำอยู่นี้ สะอาดแล้ว แต่บางคนกลับมองว่า นี่ยังโคตรสกปรก อันนี้แล้วแต่มุมมอง
แต่ผมว่า มาตรฐานก็คือ ห้องน้ำสะอาด มองแล้วเป็นระเบียบ มีฝุ่นบ้าง แต่ต้องคอยเช็ด เช่น ตามตู้ TV
หรือ คอมพิวเตอร์ ปริ้นเตอร์ ตรงไหนมีฝุ่น ก็เช็ดให้เรียบ ล้างแอร์ พัดลม คอยเช็ดให้เหมือนใหม่ตลอด
ทุกครั้งที่กินอาหารเสร็จ ให้ล้างต่อทันที ไม่มีการวางทิ้งไว้ ให้หนู แมลงวัน แมลงสาป มากินต่อ
หลังจากล้างจานแล้ว ให้เท ซันไล ลาดไปให้ทั่วอ้างล้างจาน เอาสก๊อตไบท์ ล้างให้สะอาดอีก
แค่นี้ ก็เยี่ยมแล้วครับ พยายามหาอุปกรณ์เช่น กะละมังใบเล็ก ๆ ประมาณ กะละมัง ล้างเท้า
กับ น้ำยาล้างจาน และ สก๊อตไบร์พกเอาไว้ ให้สะดวก พอว่าง ก็ทำความสะอาดเลย อย่าปล่อยเวลา
ให้ผ่านไปด้วยการ ทำกิจกรรมเดิม ๆ เช่น เล่นเกมส์ ดูทีวี เล่นเน็ต Chat ดูดวง เมื่ออะไร ๆ รอบตัว
สะอาดขึ้นมา จิตใจเราก็จะแจ่มใส และ สมองปลอดโปร่ง ก็มีกะจิตกะใจ ทำงานให้ได้นานขึ้น
งานที่ออกมาก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และ ลูกค้าก็ประทับใจ บอกกันปากต่อปาก เราก็ได้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ
และเป็นงานที่มีคุณภาพ ค้มกับเวลาที่เสียไป ที่ผมพูดมานี้ เพราะผมทำได้มากกว่า 500,000 บาท ต่อเดือน
ไม่ได้โม้เหมือนพวกทำ MLM

ดังนั้น ผมจะสรุปกิจกรรม ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่อนาคตที่ดีให้ได้อ่านกัน
1. หากิจกรรมที่มีประโยชน์ทำ ออกกำลังกาย ฝึกภาษา หาเพื่อนใหม่ ๆ
2. หาคำว่า ระเบียบ วินัย ในชีวิตให้เจอ เช่น จดรายละเอียดการทำงาน วางแผนงานล่วงหน้าเสมอ
3. กำจัดทุกอย่าง ที่เราคิดว่า สกปรก ทำให้สะอาด
4. หาเวลานั่งสมาธิ และ หลังจากนั่งแล้ว อย่าหลับ ให้หาหนังสือดี ๆ มาอ่าน จะอ่านได้นานมาก ๆ
5. อย่าหวังว่า ใครจะช่วยคุณได้ เริ่มจาก คุณช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อน แล้วไปช่วยคนอื่นบ้าง (เหมือนที่พ่อกับแม่ดูแลเรา)
6. แสวงหาโอกาส และ พุ่งเข้าใส่มัน ด้วยความคิดที่แน่วแน่ และตัดสินใจ อย่างชาญฉลาด
7. ชักชวน คนใกล้ตัว ไปทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ซื้อไม้แบต มาตีกันหน้าบ้าน
8. จดรายรับ รายจ่าย (สงสัยว่า คนแถวนี้ส่วนใหญ่ จะได้จดกันแต่รายจ่าย)
9. กินอาหารให้พอดี อย่ากินเยอะไป เพราะจะบั่นทอนสุขภาพ และ ประสิทธิภาพการทำงาน (ง่วงนั่นเอง)

นิยามคำว่า "เวลา"
คุณคงเคยได้ยินคนพูดว่า "ไม่มีเวลา" นี่เป็นคำพูดที่แปลกมาก มันเป็นคำพูดที่ บ่งบอกถึง ความหมาย
ในตัวมันเองแบบ เพรียบพร้อม โดยไม่ต้องการคำอธิบายเป็นอื่นใด นอกจากคำว่า "กรูไม่อยากทำ" หรือ "กรูไม่อยากเจอคุณ"

สำหรับเวลาแล้ว คนที่ไม่มีเวลา คือ คนตาย ดังนั้น ถ้าคุณยังหายใจ แสดงว่า เวลา ยังเดินอยู่
แต่ไม่ต้องเร่งรีบเสียจนมากเกินไป และ ควรรู้ว่า ตอนไหนควรรีบ ตอนไหน ไม่ต้องรีบ และถ้ารีบแล้ว ก็ต้องทำให้ดี
เพราะเวลา ที่คนเราทำอะไรเร็ว ๆ มันมักจะมากับความลวก ซึ่งจะต้องใช้เวลามากขึ้นอีกในการเข้าไป แก้ไขปัญหา
ดังนั้น ทำอะไร ก็ทำให้ดีไปเลย อย่าทำลวก ๆ

ทุกคนมีเวลาเท่ากัน นอกจากว่าใครบางคนอายุสั้น (แต่คุณไม่รู้วันตาย ผมจึงถือว่า มีเวลาเท่ากัน)
ใน 1 วัน ผมทำงานเฉลี่ย 12 - 15 ช.ม.
คุณอาจจะทำแค่ 1 ช.ม. ถ้าไม่เชื่อ ลองสำรวจตัวเองดู ตั่งแต่ตอนนี้ ว่าคุณก่อให้เกิดงาน
หรือ ความสำเร็จในชีวิต หรือ ทำอะไรที่คุณต้องการให้มันเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ชีวิตวันนี้ผ่านไป
โดยที่ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แบบนี้ เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน

เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่คุณมีเงิน มีเวลา มีความพร้อมทุกอย่าง คุณจะเสียดายเวลา ที่คุณหมดไปกับ การทำอะไร
ที่มันไร้สาระ เช่น ดูทีวี เล่นเกมส์ เล่นเน็ท ขี้เกียจ นอนขี้เซา เมา หรือ ทำเรื่องแย่ ๆ

ดังนั้น เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ใช้เวลาให้คุ้มค่า ผมจะแนะนำเคล็ดลับให้
เข้านอนก่อน 3 ทุ่ม เดี๋ยว 4 ทุ่มคุณก็หลับ แล้วคุณจะตื่น ตี 5 รีบลุกขึ้นมา ทำกิจกรรม
คุณจะมีเวลา 7 - 12 รวม 5 ช.ม. ทำงาน และ 11 - 16 อีก 4 ช.ม. ทำงาน ใช้เวลาเหล่านี้
ทำงานให้คุ้มค่า กับรายได้ ที่จะได้รับ และ ใช้สมองให้มากกว่าการออกแรงทำงาน
แต่อย่าลืมกฏข้อสำคัญ "อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา"
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ประเมินการทำงานของวันนี้ ว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องปรับปรุงตรงไหนอีก
และ เตรียมงานของวันพรุ่งนี้ โดยลองตั้งใจว่า ทั้งอาทิตย์ คุณจะไม่ดูทีวีเลย แล้วคุณจะรู้ว่า
ทำไม เราช่างมีเวลา มากมาย เสียขนาดนี้ เมื่อก่อน ทีวี เอาเวลาของเราไปใช้จนหมดเลย

แต่ 1 อาทิตย์ ก็มีกิจกรรม สังสรรค์กันบ้าง เช่น ชักชวนกันออกไปทานอาหารค่ำ เพื่อคุยกันแบบเฮฮา
แต่ไม่ต้องมีแอลกอฮอลล์ เพราะ นั่นอาจทำให้คุณซวย คนที่กำลังไปได้ดี อาจะพิการ หรือ หมดตัว
เพราะเหล้า ก็มีให้เห็นมานักต่อนัก ดังนั้น ถ้ารักตัวเอง ก็เลือกแต่สิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต ณ ตอนที่คุณมีโอกาสเลือก
เพราะถ้าพิการแล้ว คุณอาจ ไม่มีตัวเลือกมากนัก

นิยาม คำว่า "เก่ง" หลาย ๆ คนอยากรู้ว่า แค่ไหน ถึงจะเรียกว่าเก่ง งั้นวันนี้ผมจะสรุปให้ฟัง ว่าแค่ไหน คุณจะเรียกตัวเองได้ว่า กรูเก่งแล้ว
"คนเก่ง คือ คนที่สอนคนโง่ทำงานได้ และ ใช้งานคนฉลาดทำงานเป็น"

ถ้าคุณมีความรู้ คือ คุณฉลาด แต่คนที่นำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงจะเก่ง เพราะ บางคนความรู้ท่วมหัว แต่ไม่รู้จักใช้
ผมก็เคยผ่านจดนี้มา ดังนั้น ผมจะแนะนำให้ว่า ทำยังไง คุณถึงจะ นำความฉลาด (ความสามารถเฉพาะตัว) ที่คุณมี
มาใช้ได้อย่างเต็มที่ ให้คุณเริ่มจาก มองหาคนที่คุณเชื่อว่า เค้าไม่มีความสามารถแบบที่คุณมี แล้วร่วมงานด้วยกัน
คุณจะพบว่า คนที่ทำงานกันคนละหน้าที่ จะช่วยกันทำงานเป็นทีม แต่ คนที่ทำหน้าที่เดียวกัน มักจะแข่งกันทำ
การแข่งกันก็ดี แต่ถ้าเกินอิจฉากันขึ้นมา ก็คงจะเปลี่ยนจากการแข่ง เป็น สงคราม และ พัง ตามมา มันจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าทั้ง บริษัท คุณมีแต่นักการตลาด(ก็กรูจบการตลาดอ่ะ) หรือ มีแต่นักบัญชี (ก็กรูเรียนจบบัญชี นี่หว่า)
หรือ มีแต่ทีมวิศวะกร (ก็กรูเรียนวิศวะ นี่โว้ย) หรือ มีแต่นักบริหาร ไม่ไม่มีคนทำงานระดับล่าง และ ระดับกลาง (เด็กจบบริหาร)

เราต้องหาเพื่อนร่วมงาน ที่มีความรู้คนละสาขา คนละแขนง เอามาช่วยกันประสานงานกัน จนเกิดงานที่
มีประสิทธิภาพ ดีกว่า เราจะเอาแต่คนที่มีความรู้แบบเดียวกันมาช่วยกันทำ ดังนั้น การที่คุณมีกิจกรรมมากขึ้น ก็มีโอกาส
ที่จะได้เจอ ใครบางคน ที่คุณกำลังมองหาก็ได้ บางครั้ง เราอาจจะได้ ลูกจ้าง หรือ เพื่อนร่วมงานที่ดี มาโดยไม่รู้ตัว
และมีความสูขกับการทำงานมากกว่า เพราะ ทั้งเรา และ เขา ต่างก็ต้องศึกษาความสามารถของอีกฝ่ายไปด้วย
คือ เป็นการเรียนรู้ เพิ่มเติมของแต่ะละคน ในความสามารถที่ต่างฝ่าย ต่างก็ไม่มี

สิ่งสุดท้าย ที่ขาดไม่ได้เลย เวลาคุณเห็นประกาศรับสมัครงาน มันมักจะมีคำ ๆ นี้พ่วงมาด้วยเสมอ
มันคือคำว่า "ทำงานภายใต้ภาวะกดดัน" <- มันหมายความว่า อะไร ไอ้คำนี้ คุณจะกดดันกรูทำไม
หลาย ๆ คนคงอยากรู้ เพราะไม่เคยทำงานภายใต้ภาวะกดดัน ผมจึงอยากอธิบายให้เข้าใจว่า ภาวะกดดัน นี้มีหลายแบบ
เช่น

เฮ้ยเองง่ะ ต้องรีบทำงานนี้ให้เสร็จ ภายในคืนนี้นะ เพราะลูกค้าจะต้องใช้ตอน 9 โมงเช้า <-- แมร่ง ไม่ได้นอนแน่ ๆ กดดัน ๆ ๆ ๆ ๆ
- กรณีนี้ มันนอกเหนือ กฏเกณฑ์การทำงานปกติ คือนอกเวลา คงจะมีเงินพิเศษ หรือ รักกันจริง จึงทำให้ แต่ผมว่า
ถ้าเรื่องแค่นี้ คุณยังเก็บมาคิด และกดดันตัวเอง ผมว่า คุณใจแคบ และ คงจะทำอะไรไม่สำเร็จ เพราะอะไรน่ะเหรอ
คุณมีเวลาอีกตลอดชีวิตของคุณ และ คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณจะทำอะไร ผมขอแค่เวลา 20 ชั่วโมงนี้เท่านั้น
ที่คุณจะได้แสดงให้ผมดูว่า "คุณทำได้" แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็เป็นแค่ คนธรรมดา ที่ไร้ความสามารถในสายตาผม
ผมอยากได้คนที่เก่งกว่าคุณมาทำงาน

กรณีแบบนี้ผมเจอมาบ่อยมาก และ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่จะช่วยฝึก ให้ "คนเป็นคน" เพราะ "ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน"
ยิ่งงานดี เราก็จะยิ่งมี คุณค่าในตัวเอง ถ้าเรื่องง่าย ๆ แค่นี้ คุณทำไม่ได้ แล้วเรื่องยากกว่านี้ คุณจะไปทำอะไรได้
ผมคงไม่ไว้ใจให้คนอย่างคุณทำงานที่ใหญ่กว่านี้แน่ ซึ่ง มันหมายถึง งานใหญ่ รายได้ก็ใหญ่ ตามไปด้วย

แต่ถ้าคุณไม่อยากทำงานนี้ คงเป็นอีกเหตุผล เช่น รู้สึกว่าโดนเอาเปรียบเกินไป หรือ ไม่ชอบขี้หน้ากัน!


แล้วก็อีกอย่าง เชื่อผมเถอะ เงินไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง เพราะ ยิ่งเรามีเงิน ทำงานกับคนมากมาย เราเจอทั้งคนดี
คนไม่ดี ผมเองก็ยังต้องตามฟ้องลูกหนี้ และต้องคอยไปที่ ศาล ยิ่งงานเรามากขึ้น เราก็จะได้เกี่ยวข้องทั้ง คนดี ไม่ดี
แต่เราไม่ย่อท้อ และ ระลึกไว้เสมอว่า เราเกิดมาก็แค่ ตัวเปล่า เวลาเราตายไป เราก็ไปแต่ตัว สิ่งที่หลงเหลือไว้ เพื่อคนที่เรารัก
แต่ผมคิดไปไกลกว่านั้น ผมจะมีเวลาไปวิปัสนา และ พยายามเข้าถึงนิพพาน

จิตวิทยาในการซื้อสินค้า ทุกคนเคยเป็น อยากได้ของสิ่ง ๆ นึงมาก ๆ อยากซื้อ เก็บเงินซื้อแทบตาย พอซื้อมาแล้ว
คุณอาจจะเบื่อมันภายใน 10 วันก็เป็นได้ และลืมมัน และวางมันไว้ในชั้นวางของ นั่นอาจจะเป็นเพราะ คุณยังไม่รู้จักการใช้เงิน
ในบางเวลา เงินของคุณจะมีค่ามากกว่า ถ้าคุณรู้จักใช้มันให้ถูกที่ และ ถูกเวลา ของสิ่งนั้น ตอนที่ซื้ออาจจะราคา 5,000 บาท
อยากได้มาก ตอนนี้ เอาไปขายเป็นของเก่า ราคาไม่เกิน 200 บาท แบบนี้ ใช้เงินผิดประเภท สนองความต้องการ ผิดประเภท
ถ้าเอาเงิน 5,000 ไปซื้ออะไรที่เก็บไว้สัก 5 ปี แล้วมันเพิ่มมูลค่า แบบนี้ อาจจะดีกว่า เช่น ของสะสมพวก แบคง์เก่า เงินโบราณ
สแตมป์ หรือ ถ้าเยอะหน่อยอาจจะเป็น ทองคำ ก็ได้ ดีกว่าจะไปซื้อ อะไรที่สนองความต้องการของคุณได้เพียงไมเกิน 10 วัน
แล้วคุณก็แทบไม่ได้พูดถึงมันอีกเลย ตลอดชีวิต และไม่เคยคิดแม้แต่จะกลับไปมองมันด้วยซ้ำ หรือ ถ้ามันหายไป คุณก็ไม่รู้สึกอะไร


เวลาดี ๆ ในชีวิต บางครั้ง ตื่นเช้าขึ้นมา ผมนั่งน้ำตาซึมและสงสัยว่า คนธรรมดา ที่เมื่อก่อน ไม่มีแม้เงินซื้อ มาม่ากิน
จะทำอะไร ๆ ได้ขนาดนี้เลยเหรอ จากจุดนั้น เราก้าวมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง ได้มีเวลาว่างนั่งทบทวน อดีตที่ผ่านมา
ว่าใครเป็นคนชี้แนะ ให้เราทำอะไร ใครกดดันให้เราทำงานหนัก ใครสั่งสอน ให้เรารักความสะอาด ให้ขยัน ทำให้เป็นระเบียบ
บริหารเวลา จัดระบบความคิดใหม่ ปรับทัศนคติใหม่

พูดถึงคำว่า ทัศนคติ ผมยังอยากจะแนะนำต่อ เพราะหลายต่อหลายคน มีทัศนคติ ที่แย่มาก แค่เราปรับ ทัศนคตินิดเดียว
เราก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกันแล้ว ชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ


ฝึกให้ จิต อยู่เหนือ ใจ รู้เท่าทัน ทุกก้าวการเดิน ฝึกให้ จิต ไว้กว่าความคิด รู้ว่า คิดอะไรอยู่ ฝึกทำสมาธิกันนะ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า มันพิมพ์นานแค่ไหน
ผมนั่งพิมพ์ทั้งหมดนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง (หลายคนสงสัย ผมต้องพิมพ์ดีดได้เก่งมาก ผมตอบว่า "ใช่" ผมพิมพ์เร็วมาก)
แต่บางคนสงสัย ผมไปก๊อปปี้บทความใครมา หรือ เอาจากหนังสือที่ไหนมาพิมพ์หรือเปล่า ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมนั่งคิดไป
ผมก็พิมพ์ตามไป ผมก็แค่แชร์ประสบการณ์การทำงานให้คุณ ๆ ได้ฟัง และ ให้คุณ ๆ ทั้งหลายได้เอาไปปรับใช้กัน เชื่อว่า
คงจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย และ ทั้งหมดที่ผมนำเสนอมา ถ้ามีตรงไหน ผิด ไม่ถูกต้อง ลองแนะนำผมมาก็ได้
คนอย่างผม พร้อมน้อมรับคำแนะนำ และ นำกลับไปปรับปรุงเสมอ (ป.ล. ผมไม่สนใจเรื่องการเมืองเลย ถึงเศรษฐกิจจะแย่ แต่ผมยังรุ่ง)

โพส โดย Hanma

2 ความคิดเห็น: