ธนบัตรใบละ 1,000 บาท

อาจารย์มหาวิทยาลัยคนนึง เริ่มการสนทนาในชั้นเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท ...ออกมาให้นักศึกษาดู

แล้วถามว่า "มีใครอยากได้บ้างไหม"

นัก ศึกษาทุกคนยกมือขึ้นอาจารย์ขยำธนบัตรนั้น จนยับยู้ยี่......แล้วถามอีกครั้งว่า "มีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่"ทุกคนยังยกมือขึ้นเหมือนเดิมอาจารย์ ถามต่ออีกว่า "ถ้าสมมุติว่า ธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนมาเหยียบย่ำจนสกปรก ยังจะมีใครอยากได้อีกหรือไม่"

นักศึกษาทุกคนตอบว่า"ยังอยากได้......"

อาจารย์ จึงกล่าวสรุปว่า "นั้นคือสิ่งมีค่า ที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้ ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็คงยังมีราคา 1,000 บาทเสมอ ชีวิต คนเราก็เช่นเดียวกัน บางครั้ง เราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใครซ้ำเติม เหยีบย่ำ ถูกขยี้ ยับเยิน เพราะผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่าตนเอง ไร้ค่า แต่รู้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมี คุณค่าของความเป็นคน ไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม หรือยับยู้ยี่ ^_^

"ตัวเรามีค่าที่สุดเสมอ จำไว้
"


ขอขอบคุณข้อคิดดีดี

0 ความคิดเห็น:

การเบิกโอนบุญ อนุโมทนาบุญ และวิธีปฏิบัติ

การเบิกบุญที่เคยทำไว้โอนออกไปให้ญาติในโลกทิพย์
"ขอ อำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญที่ข้าพเจ้าให้ถึงแก่ปอบ เปรต ผี ปีศาจ เทวดา มาร พรหม ยักษ์ คนธรรพ์ เงือก นาค ครุฑ อสูร กินรา ที่เป็นญาติข้า จงเป็นสุขจากบุญที่ข้าให้นี้เถิด"
เมื่อ กลุ่มญาติได้รับบุญก็จะดูแลปกป้องรักษาให้เราปลอดภัยจากเจ้ากรรมนายเวรที่จะ มาถึงตัวเราและก็จะดูแลบ้าน กิจการร้านค้าขายให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป หากเราไม่หมั่นส่งบุญให้เขาๆจะเอาบารมีที่ไหนมาปกป้องเรา

ส่วนการเบิกบุญที่เคยทำไว้โอนออกไปให้เจ้ากรรมนายเวร
"ขอ อำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้นายเวรข้าที่เดินทางมาถึงและกำลังก่อกวนข้าอยู่ในเวลานี้ เมื่อได้รับบุญแล้วจงเป็นสุขเถิด ข้าขออภัยในความผิดที่ข้าเคยทำกับพวกท่านไว้ เรามาสร้างบุญร่วมกัน มามีความสุขไปด้วยกันเถิด"

การเบิกบุญที่ทำไว้โอนออกไปให้นายเวร
"ขอ อำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญของข้าพเจ้าแปรสภาพเป็นร่างกายของข้าพเจ้าไปให้นายเวรที่จะเข้า มาทำร้ายข้าพเจ้าให้เขาได้แก้แค้นร่างกายที่เกิดจากบุญที่ข้าพเจ้าส่งไปให้ นั้นเถิด"

การเบิกบุญแก้ไขโรคโดยเจาะจงดังนี้
"ขอ อำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าพเจ้าให้ถึงแก่นายเวรกับเชื้อโรคที่ก่อกวนอยู่ใน (ระบุส่วนของร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่) จงเป็นสุขจากบุญที่ข้าให้นี้แล้วออกจากร่างกายของข้าไปทีเถิด"
อนึ่ง หมอ พยาบาล หากไม่อุทิศบุญให้กับเชื้อโรคที่ตายจากการที่ตนฉีดยา ฉายรังสี ผ่าตัด เชื้อโรคที่ตายเหล่านั้น หากเล่นงานเราไม่ได้ก็จะเล่นงาน ลูกหลาน หรือสัตว์เลี้ยง แม้กระทั่งต้นพืชของเรา

วิธี การปฏิบัติการเบิกโอนบุญประจำวัน ตื่นเช้า เบิกบุญให้ผู้ที่มาเกี่ยวข้องกับเราโดยทางฝัน รวมทั้งให้เทวดาประจำตัวเจ้ากรรมนายเวรที่เบียดเบียนทั้งภายนอก ภายในกายของเรา ตลอดถึง ภูติ ผี ปีศาจเปรต ปอบ นาค ครุฑ อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยมทูต เทวดา มาร พรหม ที่เป็นญาติของเราที่อยู่บริเวณบ้านนี้เข้าห้องน้ำเบิกบุญให้แบคทีเรีย จุลินทรีย์ต่างๆ ที่ตายจากการที่เราอาบน้ำชำระร่างกาย รวมทั้งเชื้อโรคต่างๆ ที่ออกไปจากการขับถ่ายของเรา เวลากินข้าวก็เบิกบุญให้กับวิญญาณสัตว์ที่สถิตในเนื้อสัตว์ ในผัก ในข้าว ในน้ำ ในอาหารทั้งหมด รวมทั้งให้กับดวงใจสัตว์ที่ตัวเรานำมาทำอาหารด้วย ไปทำงานก็เบิกบุญให้กับเทวดาประจำรถ และภูต ผี ปีศาจที่อยู่กับรถ และบอกเทวดาให้คุ้มครองป้องกันภัย ขณะเดินทางก็เบิกบุญให้กับภูต ผี ปีศาจ ปอบ เปรต เทวดา ที่อยู่อาศัยตามถนนหนทางด้วย ถึงที่ทำงานร้านค้า ก็เบิกบุญให้เทวดาประจำตัวของผู้ร่วมงานทั้งหลาย และภูต ผี ปีศาจ ปอบ เปรต เทวดา ที่อยู่ในที่ทำงาน ร้านค้าขาย เมื่อกลับจากการทำงานก็เบิกบุญให้เช่นตอนมาทำงาน เมื่อถึงบ้านก็เบิกบุญให้หมู่ภูตผี ปีศาจ ปอบ เปรต อสูรกาย นาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยมทูต เทวดา มาร พรหม ที่เป็นญาติของเรา ทำธุรกิจส่วนใดๆ ก็เบิกบุญให้เหมือนตอนเช้าทุกประการ

วิธี การอนุโมทนาบุญ คือ ร่วมยินดีในขณะที่เห็นผู้อื่นทำดี เช่น ถวายสังฆทาน ใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาเป็นต้น บุญจะเกิดขึ้นกับเรา เมื่อเราร่วมยินดีกับการที่เห็นผู้อื่นทำความดีนั้นแล้ว ให้คิดว่า "สาธุ บุญนี้ ขอยกให้กับ"...(แล้วแต่จะยกให้ใคร)

ประโยชน์ของการโอนบุญ
1.ทำให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่มาเบียดเบียนหรือป่วยอยู่ก็ทำให้หายเร็วขึ้น
2.ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจและมุ่งหวัง เพราะเทวดาที่ดูแลเราช่วยเหลือและเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตรแทน
3.ครอบครัวมีความสุขลูกเชื่อฟังพ่อแม่
4.ช่วยให้จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา
5.การเดินทางปลอดภัย เพราะเป็นที่รักของมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลาย
6.ปฏิบัติธรรม เจริญธรรม ปัญญาเกิดขึ้นง่าย

จากหนังสือความสัมพันธ์ระหว่างโลกทิพย์ และผลของการส่งบุญ
พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ

0 ความคิดเห็น:

กรรมฐานแบบคนขี้เกียจ

การเจริญกรรมฐานจริง ๆ ถ้าทำเเป็นล่ำเป็นสันมันอาจจะเกินพอดีไปก็ได้ เอากันแบบคนขี้เกียจ แต่ตายแล้วไม่ลงนรกดักว่า ง่ายดีนะ คนขี้เกียจเขาจะทำแบบนี้

ก่อนนอนหลับ จนึกถึงพระพุทธเจ้า หรือนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะที่เราชอบ จิตก็จับลมหายใจเข้าออก ภาวนา "พุทโธ" ก็ได้ อะไรก็ได้นะ เอาพุทโธเป็นเกณฑ์ก็แล้วกัน หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" เพียงแค่ ๒-๓ ครั้ง มันหลับไปก็ใช้ได้ ขณะภาวนาอยู่ถ้าจิตเข้าไม่ถึงฌานมันจะไม่หลับ ถ้าจิตสงบถึงฌานมันจะตัดหลับทันที

จะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ขณะที่หลับอยู่กี่ชั่วโมงก็ตาม ท่านถือว่า ทรงฌานตลอดเวลา ถ้าตายเวลานั้นจะเป็นพรหมทันทีเป็นอย่างน้อย ถ้าบังเอญก่อนจะตายก่อนจะหลับเรานึกถึงพระนพพาน ภาวนาด้วย นึกถึงพระนิพพานไว้ก่อนด้วย แล้วก็หลับจิตเป็นฌานก็หลับ เขาถือว่าจิตทรงเนในด้านของนิพพานเรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน ถ้าตายเวลาหลับจะไปนิพพานทันที

ถ้ามันไม่ตาย มันตื่น ก่อนจะขยับตัวไปไหน ก่อนจะหลับจิตเราเป็นฌาน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วฌานยังไม่คลายตัว ยังทรงอยู่ ก็เริ่มจับลมหายใจเข้าออกใหม่ภาวนาใหม่แค่ ๒-๓ ครั้งก็ตาม เพียงแค่นี้ทำทุกวัน ทุกคนเวลาจะตายจะไม่นึกถึง อกุศล จะนึกเฉพาะ กุศล อย่างเดียว
ถ้าทำอย่างนี้ทุกวัน ทำแบบคนขี้เกียจนะ ฉันมันคนขี้เกียจก็เลยสอนให้ลูกศิษย์เป็นคนขี้เกียจด้วย ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันถ้าเราป่วยหนักขนาดไหนก็ตามถ้ายังไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นนางฟ้า ไม่เห็นพรหม ไม่เห็นพระอริยเจ้า ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ตาย ถ้าขณะป่วยถึงแม้มันจะไม่หนัก เห็นเทวดาเห็นนางฟ้าเต็มจักรวาล เห็นพรหม เห็นพระอริยเจ้า เห็นรพพุทธเจ้า คราวนั้นตายแน่

ถ้าก่อนตายทุกขเวทนาหนัก ปวดเสียด แต่ก่อนจะตายจริงสักอย่างน้อยที่สุด ๒๐นาที หรืออาจจะ ๒ - ๓ วันก็ได้นะ จิตที่มีทุกขเวทนามันจะหายไป จิตจะจับที่เทวดา ที่นางห้า ที่พรหม ที่พระอริยเจ้า มีความเพลิดเพลินคุยกับท่านแบบสบาย ๆ และในที่สุดจิตก็ดับ ก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานได้ตามชอบใจ


ก่อนจะหลับให้ภาวนาว่า "พุทโธ" สัก ๒ -๓ ครั้ง แล้วภาวนาว่า

"นิพพานัง สุขัง" ไปจนกว่าจะหลับ เมื่อเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ให้ภาวนาว่า

"นิพพานัง สุขัง" สัก ๒-ภ ครั้ง อย่างนี้ทุกคืน จะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ใครภาวนา "นิพพานัง สุขัง " ไม่ได้ ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" อย่างน้อยที่สุดตายจากชาตินี้แล้วไปสวรรค์





จากหนังสือ "พ่อสอนลูก"

0 ความคิดเห็น:

พระคาถา คงกระพันชาตรี, สมเด็จพระพุทธกัสสป, พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

คาถาคงกระพันชาตรี

พุทธังคงหนัง ธัมมังคงเนื้อ สังฆังคงกระดูก

หลวงพ่อให้แก่ทหารนาวิกโยธิน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คราวไปเยี่ยมเยียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙

***********************************
พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป

หลวง พ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าว เวสสุวัณ มาให้ ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมี สมเด็จ พระพุทธกัสสป ทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของพระคาถานี้

พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย จงวินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย จงวินาศสันติ

บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว

***********************************

อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง
สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ
บท กลางนะทำลายโรค ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้ศึกษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอท่านต่อพระพุทธรูป

ถ้า ใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์ เสกอะไรๆ ให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน


คาถาเสกน้ำล้างหน้าเพื่อเห็นอมนุษย์
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า "พุทธาโมยะ นะ"

เมื่อเสกน้ำล้างหน้าแล้ว ท่านให้นั่งภาวนาคาถาว่า ดังนี้
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะพุทธัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะธัมมัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะสังฆัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
ต้อง อธิษฐานขอเห็นก่อนว่าจะพบใคร แล้วจึงจะภาวนา จนจิตถึงอุปจารสมาธิ จึงจะเห็นภาพได้ ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ (ท่านให้ก่อนที่จะมีการฝึกสอนวิชามโนมยิทธิ ปัจจุบันได้มโนมยิทธิกันแล้ว จึงไม่ได้ใช้คาถากันอีกเลย)

0 ความคิดเห็น: